ช่วง ปลายปีที่แล้ว (2555) ได้มีโอกาสเป็นล่ามในคอร์สครูโยคะเพื่อการพัฒนาจิต ของสถาบันโยคะวิชาการ ตอนที่ครูฮิโรชิ และ ครูฮิเดโกะนำฝึก ก็รู้สึกว่า เรารู้จักโยคะมาห้าปี ช่วงสองปีหลังนี้ฝึกสม่ำเสมอทุกวัน มีบรรยายบ้าง ก็น่าจะถึงเวลาที่จะไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ยิ่งได้เป็นล่ามให้ครู ก็รู้สึกว่าถ้าเรามีประสบการณ์ตรงจากการได้ไปอินเดีย น่าจะทำให้การทำงานส่วนนี้ทำได้ดีขึ้น ก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์ส CCY หลักสูตร 6 สัปดาห์ของสถาบันไกวัลยธรรม ที่เมืองโลนาฟลา มุมไบ
การ ไปอินเดีย ก่อนหน้านี้ไม่เคยอยู่ในความคิด เราเป็นคนชอบเที่ยว แต่อินเดียเป็นประเทศสุดท้ายที่คิดจะไป เนื่องจากภาพต่าง ๆ ที่เคยเห็น สิ่งต่าง ๆ ที่เคยได้ยิน เกี่ยวกับอินเดียว่าสภาพมันไม่น่าเที่ยว สกปรก คนอึฉี่กันบนถนน กินอาหารก็ท้องเสีย แขกก็ขี้โกง อันตรายมากถ้าจะไปอินเดีย ฯลฯ เวลาใครชวนไปก็จะบอกไปอย่างชัดเจนว่า “ไม่” แถมให้ด้วยว่า “ให้ไปฟรียังคิดดูก่อนเลย” แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องไปหาความรู้ในสิ่งที่เรารัก จากต้นกำเนิด และ จากสถาบันที่เชื่อถือได้ แต่ก็ยังมีความกลัวจากชื่อเสียงที่เคยได้ยิน
จาก นั้นมีโอกาสได้ไปฟัง อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ที่ศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย ในหัวข้อ อินเดีย เห็นด้วยตา รู้ด้วยใจ ได้ซื้อหนังสือของ อ.ประมวล มาหลายเล่ม และ ได้อ่าน “อินเดีย จาริกด้านใน” ทั้งสามเล่ม กลับรู้สึกว่ามุมมองที่เรา มองอินเดียนั้น ควรจะเป็นความเคารพ ไม่ว่าจะไปประเทศไหน หรือ ที่ไหน ถ้าไปด้วยความเข้าใจว่าประเทศเค้าเป็นอย่างนั้น โดยไม่เอาความคาดหวัง ความเคยชิน หรือความต้องการของเราที่ใช้ได้กับประเทศไทย หรือ ในบ้านเราไปปะปน เที่ยวที่ไหนก็สนุก อาจารย์ไปก็ลำบาก ก็โดนแขกโกง แต่ก็คิดว่าเอาวะ ค่าเงินเค้าก็ถูก จะโดนแขกโกง มันก็ไม่กี่บาท โดนโกงบ้างไม่เห็นจะเป็นไร เรื่องจะเป็นอันตราย เราก็รอบคอบพอสมควร ไม่ไปเที่ยวหาเรื่องกับใครก็คงจะอยู่รอดปลอดภัย ความกล้าที่จะไปอินเดียก็บังเกิด คิดซะว่า อะไรที่จะเข้ามาก็ต้อนรับทั้งชอบใจไม่ชอบใจ ได้ไปฝึกจิตตัวเอง อาจจะจิตมากขึ้น อันนี้ก็อีกเรื่อง ^^”
ปีที่แล้วมีคนไทยไปคอร์ส CCY 3 คน ส่วนรุ่นพี่ที่สถาบันหลายท่าน รวมถึงครูกวี ผู้อำนวยการสถาบันโยคะวิชาการ ก็เคยผ่านคอร์สนี้ เลยรู้สึกสบายใจว่ามีคนให้ถามเยอะ และ ไปอยู่ในโรงเรียน ก็คงจะปลอดภัยกว่าเป็นนักท่องเที่ยว คอร์สนี้เปิดปีละสองครั้ง 2 พฤษภาคม และ 15 มกราคม ช่วงเดือน มกราคมอากาศดีกว่า ค่อนไปทางหนาว ส่วนเดือน พฤษภาคม ถามครูกวี ครูบอกว่าช่วงนั้นไม่น่าไป เพราะฝนตกเฉอะแฉะ
เมื่อ มีใครคิดจะทำอะไร ก็จะไม่พ้นครูกวี เนื่องจากมีหลายคนแสดงความสนใจอยากจะไปเรียน ครูก็เลยเรียกพวกเรามานัดคุยกัน พร้อมกับเอาข้อสอบเก่ามาให้ดู สรุปแล้วก็มีที่จะไปด้วยกันทั้งหมด 5 ชีวิต มีตัวเราเอง พี่กล้วย จูน พี่นิด และ ดุ๊ เป็นศิษย์เก่าของสถาบันฯ ทั้งหมด ครูบอกว่า “ผมคิดว่าโจ๋เรียนได้ โจ๋น่าไป จะได้ดูแลคนอื่นด้วย แล้วก็ถ้าไปก็ให้ไป conference ด้วยเลย” ฟังแล้วก็เอ่อ ครูคะ ตัวเองไม่รู้จะรอดมั๊ย ส่วนงาน conference มีจัดตอนเดือนธันวาคม ซึ่งพอหลังจากจบงานแล้วจะมีช่วงว่างประมาณ 2 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มเรียน และ แพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวหลับจบคอร์สอีกประมาณ 10 วัน ซึ่งเท่ากับว่าจะใช้เวลาอยู่ในอินเดียถึงสามเดือน รู้สึกว่านานเกินไป ก็เลยไม่ได้ไป conference มีแต่พี่กล้วย กับ จูน ที่ไป conference แล้วก็จะอยู่ยาวไปเลย
คอร์สนี้เริ่ม 15 มกราคม ก็เลยว่าจะไปถึงก่อนซักสองสามวัน คุยกับพี่นิด พี่นิดจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว บอกว่าของ indigo ถูกกว่าสายการบินอื่น เพราะเป็น low cost airline ของอินเดียและเครื่องก็ใหม่ ดูราคาแล้วก็ถูกจริงจองขาไปอย่างเดียวประมาณ 4,000 บาท และ ขากลับกลับทางกัลกัลตตา เพราะเที่ยวสิกขิมก่อนกลับ ค่าตั๋วขากลับ 2,000 บาท ถูกยังกะบินไปภูเก็ต เตรียมเรื่องเที่ยวไว้ก่อนเลย เพราะจะได้ไปเรียนแบบไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เที่ยว อิอิ
เนื่องจากเวลายังเหลืออีกสองเดือน ก็เลยยังไม่ได้ทำวีซ่า แล้วก็เข้าเว็บไกวัลยธรรม เพื่อสมัครเรียน
ความเป็นอินเดียเริ่มขึ้นตรงนี้เอง เมื่อส่งใบสมัครไป และ เอกสารต่าง ๆ ผ่านไปได้เป็นอาทิตย์ ก็เงียบหาย ทางครูกวี และ ครูฮิโรชิ ก็ช่วยตามให้ เค้าบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงวันหยุด ก็โอเค วันหยุดก็วันหยุด จนจะครบเดือนแล้ว ก็ยังเงียบหาย ส่งอีเมล์ไปถาม ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ครูกวีก็บอกว่านี่แหละ indian stlye ชิลเหลือเกิน รอจนพ้นเดือนนึง ครูกวีก็บอกว่า เค้าส่งเมล์ตอบมาแล้ว ให้ส่งเอกสารต่าง ๆ ไปให้ และ ทางสถาบันก็ออกจดหมายรับรองพวกเราทั้งห้าคน พอเค้าตอบกลับมา เราก็ไปโอนเงิน พอไปถึงธนาคารบอกว่าเค้าต้องการอีเมล์ที่ส่งมาจากไกวัล swift code ก็ไม่แน่ใจว่าถูกมั๊ย เค้าไม่กล้ารับโอน เพราะกลัวจะโอนไปผิดบัญชี เราก็โทรถามน้องคนนึงที่เคยไปปีทีแล้ว “พี่โจ๋ได้ swift code มาจากตา…นี่ใช่มั๊ย” เตยถาม เราก็ว่าใช่ “ปีทีแล้วเค้าก็บอกเลขเนี้ย แต่มันผิด ปีนี้ยังไม่แก้อีก” แล้วก็จัดการส่งแฟ็กซ์ใบโอนเงินมาให้ดูเป็นตัวอย่างตอนที่อยู่ทีธนาคาร เลย ทางธนาคารเห็นตัวอย่างใบโอนเงินแล้วก็เลยกล้ารับโอนให้ แถมยังส่งรายการข้าวของ การเตรียมตัวจะไปอินเดียอย่างละเอียด และ หนังสือกับตัวอย่างข้อสอบ มาให้อีกด้วยขอบคุณมา ณ ที่นี้จ้า
เมื่อโอนเงินเรียบร้อย ก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน จากนั้นก็ไปทำวีซ่า ซึ่งการทำวีซ่าก็จะดวกมากกรอกใบสมัครจากในเว็บไซต์ http://www.ivac-th.com/Thai/ เตรียมเอกสารต่าง ๆ ทีต้องการไปให้ครบ ถ่ายรูปตามขนาดที่กำหนด ยื่นวีซ่าที่ตึก glass house ชั้น 15 สุขุมวิท 25 ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5 วันทำการ แล้วก็ไปรับเล่มพาสปอร์ต
ตั๋วเครื่องบิน และ วีซ่าพร้อม ก็รายงานให้ครูกวีทราบ
โจ๋ “ครูคะ โจ๋ว่าจะไปสิกขิมค่ะ พี่..จะไปด้วย แล้วก็มีเพื่อนบินตามไปอีกคนนึง”
ครูกวี “คิดดี ๆ นะ ไปเที่ยวอินเดียมันไม่เหมือนที่อื่น อ่านหนังสือ อ.ประมวลแล้วยัง”
โจ๋ “อ่านแล้วค่ะ”
ครูกวี “อ่านแล้วยังจะไปอีกเรอะ”
โจ๋ “อ่านแล้วไงคะ ถึงได้จะไป”
ครู กวี “ไอ้พวกนี้นี่นับถือจริง ๆ เรื่องเที่ยวนี่มันไม่ยอมเลย ไปอินเดียก็เหมือนไปใช้กรรม ยิ่งไปสิกขิม ก็ยิ่งได้ไปใช้กรรม อากาศมันหนาวมาก เข้าขั้นติดลบ ตัวจะแห้งมากจนโลชั่นก็เอาไม่อยู่ ต้องทาน้ำมันเลยนะ” ครูขู่ไว้ แต่เราก็มิได้นำพา เข้าตำราตอนจะไปเหมือนห่านจะบิน
พอ รู้แล้วว่าจะเที่ยวไหน ก็มาจัดข้าวของที่จะต้องเอาไป เพิ่งมาเห็นว่าสายการบิน indigo ให้น้ำหนักแค่ 20 กิโล ส่วน jet airways ให้ 30 กิโล แต่ราคาแพงกว่าประมาณห้าพัน เราก็โอเค เพราะไม่ได้จะขนอะไรไปเยอะ เสื้อผ้าใส่อยู่ที่โรงเรียนเป็นเสื้อยืด กางเกงสบาย ๆ 3 ชุด ชุดไปเที่ยว 3 ชุด และ เสื้อกันหนาวเวลาไปสิกขิม น้ำหนักไปอยู่ที่ทิชชูแห้ง ทิชชูเปียก (ซึ่งไม่น่าขนไปให้หนักเพราะที่โน่นมีขาย) ถุงนอน (มีประโยชน์มาก) น้ำยาซักผ้า (เราใช้น้ำยาซักผ้าเด็ก เพราะต้องซักมือกลัวมือแหก อันนี้ที่โน่นไม่มีขาย) น้ำยาปรับผ้านุ่ม และ หนังสือ แถมมีที่ตากชุดชั้นใน แบบที่แขวนได้และกางออกมาได้อีกด้วย ส่วนชุดนักเรียน หรือกูร์ตาสีขาว ซึ่งนักเรียนทุกคนต้องใส่ ไปซื้อเอาที่โน่น แต่พอไปถึงแล้วก็รู้ว่าของส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องขนไป เพราะที่โน่นมีขายเหมือน ๆ บ้านเรา
ลองคำนวณค่าใช้จ่าย จะได้แลกเงิน ในเว็บไซต์บอกค่าใช้จ่ายเป็นดอลล่าร์คือ 1,000 ดอลลาร์ ก็ไม่แน่ใจว่าเค้ารับเป็นดอลลาร์ หรือ รูปี และ หนึ่งพันนี้เฉพาะค่าคอร์สหรือว่ารวมทุกอย่างแล้ว ก็เลยโทรหาพี่อีกคนที่เคยไปปีที่แล้ว ซึ่งบอกว่าตอนที่ไปเค้ารับทั้งสองอย่าง แต่ว่าด้วยความเป็นอินเดีย อะไรก็ไม่แน่นอน ปีนี้อาจจะบอกว่ารับแต่ดอลลาร์ อีกปีอาจจะว่าได้ทั้งรูปี และ ดอลล่าร์ก็ได้ ก็เลยแลกไปทั้งรูปี และ ดอลลาร์ และ ยังให้คำแนะนำอีกหลายอย่าง ทั้งเตือนให้เอาถุงนอนไป ภาษาที่ตอนแรกอาจจะฟังไม่เข้าใจแต่ใช้เวลาปรับหูซักหน่อย ไม่ยากเกินไป และ ไม่ต้องกลัวว่าจะเรียนไม่รู้เรื่อง ครูใจดี รวมถึงการเดินทางไปตลาด ชื่อร้านอาหารที่อร่อย ฯลฯ ขอบคุณมากค่ะ
เตรียม ทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็มาลองเปิดดูหนังสือ และ ข้อสอบเก่าที่รุ่นพี่ใจดีให้ยืม กะว่าจะลองทำข้อสอบดูก่อน พอเปิดทั้งหนังสือและข้อสอบ ก็เริ่มนอยด์ “อ่านไม่รู้เรื่องเลย จะไปทำไมวะเนี๊ยะ หาเรื่องมั๊ยเนี๊ยะ โอ๊ย ไม่ไปแล้วได้มั๊ยเนี๊ยะ (ได้เหรอ)” แล้วก็ไม่เปิดหนังสือขึ้นมาดูอีกเลย
ใกล้วันเดินทาง ทางไกวัลยธรรมก็ติดต่อมา ว่าให้บอกด้วยว่าจะไปถึงวันไหน เพื่อจะได้จัดรถมารับ แต่ครูฮิโรชิ บอกให้ใช้บริการของ Kuku ที่เป็นเพื่อนครู เพราะไว้ใจได้ ซึ่งช่วงหลังนี้ทางไกวัลฯ ก็ใช้บริการของ Kuku ด้วยเหมือนกัน และ ครูฮิโรชิ บอกว่าจะมีเพื่อนญี่ปุ่นมาอีกสองคนที่จะไปไฟลท์เดียวกัน ดุ๊ก็ไปไฟลท์เดียวกันด้วย ดีจังมีคนช่วยกันหารค่ารถ แล้วเราก็พร้อมเดินทาง